Theme Colors
Layouts
Wide Boxed

News! โรคคางทูม : ให้สุขศึกษาประชาสัมพันธ์ ป้องกันโรค ควบคุมการระบาด

รายละเอียดข่าว..

โรคคางทูม : ให้สุขศึกษาประชาสัมพันธ์ ป้องกันโรค ควบคุมการระบาด

โรคคางทูม : ให้สุขศึกษาประชาสัมพันธ์ ป้องกันโรค ควบคุมการระบาด

                เนื่้องจากเกิดการระบาดของโรคคางทูม ในโรงเรียนบ้านสะเอิง เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลท่าตูม ร่วมกับเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบลบ้านสะเอิง ได้ดำเนินการควบคุมและป้องกันการระบาดของโรค ดังนี้ ค้นหาผู้ป่วยเพิ่มเติม เจาะเลือดส่งตรวจทางห้องปฏิบัติ ฉีดวัคซีนMMRให้กับผู้ที่ไม่เคยได้รับหรือไม่มีหลักฐานยืนยันการรับวัคซีน ให้สุขศึกษาและคำแนะนำการปฏิบัติตัวที่ถูกต้อง

 

 

โรคคางทูม(Mumps/Epidemic parotitis)

          คางทูม  เป็นโรคที่เกิดจากการอักเสบของต่อมน้ำลาย โดยมากมักจะเป็นที่ต่อมน้ำลายข้างหู (parotid glands) พบมากในเด็กอายุ 6-10 ปี มักไม่พบในเด็กอายุต่ำกว่า 3 ขวบ หรือผู้ใหญ่อายุมากกว่า 40 ปี อาจพบระบาดได้เป็นครั้งคราว เมื่อเชื้อเข้าไปในร่างกายก็จะแบ่งตัว และเข้าสู่กระแสโลหิต ก่อนจะแพร่ไปยังอวัยวะต่าง รวมทั้งต่อมน้ำลาย ทำให้ต่อมน้ำลาย และอวัยวะต่าง อักเสบ ทั้งนี้เมื่อเป็นแล้ว จะมีภูมิคุ้มกันตลอดไป

สาเหตุ

เกิดจากเชื้อคางทูม ซึ่งเป็นไวรัสในกลุ่ม paramyxovirus อยู่ในน้ำลายและเสมหะของผู้ป่วย ติดต่อโดยการไอ จามหรือหายใจรดกัน มีระยะฟักตัว 14 – 20 วัน

 

อาการ

มักมีไข้ ครั่นเนื้อครั่นตัว เจ็บคอ เบื่ออาหาร อ่อนเพลียและปวดในรูหูหรือหลังหูขณะเคี้ยวหรือกลืนนำมาก่อน 1-3 วัน ต่อมาพบว่าบริเวณข้างหูหรือขากรรไกร มีอาการปวดบวมและกดเจ็บ ผิวหนังบริเวณนั้นอาจมีลักษณะแดง ร้อนและตึง ผู้ป่วยมักรู้สึกปวดร้าวไปที่หูขณะกลืน เคี้ยวหรืออ้าปาก บางคนอาจมีอาการบวมที่ใต้คางร่วมด้วย 2 ใน 3 ของผู้ป่วยจะมีการอักเสบของต่อมน้ำลายทั้ง 2 ข้างโดยห่างกันประมาณ 4-5 วัน

บางรายอาจไม่มีไข้ บริเวณขากรรไกรบวม ข้างหนึ่งหรือทั้ง 2 ข้าง รูเปิดของท่อน้ำลายในกระพุ้งแก้ม (บริเวณตรงกับฟันกรามบนซี่ที่ 2) อาจมีอาการบวมแดงเล็กน้อยอาการบวมจะค่อย ยุบหายไปใน 7-10 วัน บางรายอาจมีอาการขากรรไกรบวมโดยไม่มีอาการอื่นนำมาก่อน หรือมีเพียงไข้ โดยขากรรไกรไม่บวมก็ได้

 

อาการแทรกซ้อน

ส่วนมากจะหายได้เองโดยไม่มีภาวะแทรกซ้อน ส่วนน้อยที่อาจมีภาวะแทรกซ้อนตามมา ที่พบบ่อย ได้แก่ลูกอัณฑะอักเสบ (orchitis) ซึ่งจะมีอาการไข้สูง หนาวสั่น ลูกอัณฑะปวดและบวม (จะปวดมากใน 1-2 วันแรก) มักพบหลังเป็นคางทูม 7-10 วัน แต่อาจพบก่อนหรือพร้อม กับคางทูมก็ได้ ส่วนใหญ่เป็นเพียงข้างเดียวและน้อยรายที่จะกลายเป็นหมัน มักพบหลังวัยแตกเนื้อหนุ่ม (อาจพบได้ประมาณ 25%) ในเด็กอาจพบได้บ้าง แต่น้อยกว่าในผู้ใหญ่มาก

          อาจพบรังไข่อักเสบ (oophoritis) ซึ่งจะมีอาการไข้และปวดท้องน้อย มักพบในวัยแตกเนื้อสาว

          อาจพบเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ซึ่งเป็นสาเหตุของเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากเชื้อไวรัสที่พบได้บ่อยที่สุด มักจะมีอาการเพียงเล็กน้อยและหายได้เอง ส่วนสมองอักเสบ อาจพบได้บ้าง แต่น้อยมาก ถ้าพบอาจมีอาการรุนแรงถึงตายได้

          นอกจากนี้ยังอาจพบตับอ่อนอักเสบ หูชั้นในอักเสบ ประสาทหูอักเสบ (อาจทำให้หูตึงหูหนวดได้) ไตอักเสบ ต่อมธัยรอยด์อักเสบ กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ แต่ล้วนเป็นภาวะที่พบได้น้อยมาก

 

การรักษา  

1. ให้การรักษาตามอาการ เช่น ให้นอนพัก ดื่มน้ำมาก เช็ดตัวเวลามีไข้สูง ให้ยาลดไข้แก้ปวด ใช้กระเป๋าน้ำร้อนประคบบริเวณที่เป็นคางทูม บ้วนปากด้วยน้ำผสมเกลือบ่อย ไม่ต้องให้ยาปฏิชีวนะ

2. ถ้ามีอาการปวดท้องรุนแรง หรือซึมไม่ค่อยรู้สึกตัวให้ส่งโรงพยาบาล อาจต้องทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติมและให้การรักษาตามสาเหตุที่ตรวจพบ

 

ข้อแนะนำ

1.  โรคนี้เกิดจากไวรัส ถือเป็นโรคที่ไม่ร้ายแรง ซึ่งมักจะหายได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์โดยไม่ต้องฉีดยาหรือให้ยาจำเพาะแต่อย่างใด การที่ชาวบ้านนิยมเขียนเสือด้วยตัวหนังสือจีนที่แก้มทั้ง 2 ข้าง หรือใช้ปูนป้ายแล้วหายได้ก็เพราะเหตุนี้

2.  ควรแยกผู้ป่วยออกต่างหากจนกว่าคางจะยุบบวม

3.  ควรเฝ้าระวังอาการแทรกซ้อน โดยเฉพาะในผู้ใหญ่ หากสงสัยควรส่งไปตรวจที่โรงพยาบาล

4.  เมื่อเป็นแล้วจะไม่เป็นซ้ำอีก และสามารถป้องกันโดยการฉีดวัคซีน มักทำรวมในเข็มเดียวกันกับวัคซีนป้องกันหัดและหัดเยอรมัน (MMR Vaccine) ซึ่งจะเริ่มฉีดให้แก่เด็กอายุ 9-15 เดือน

5. อาการคางบวม อาจมีสาเหตุจากโรคอื่น ได้ ควรซักถามอาการและตรวจร่างกายให้ถี่ถ้วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตรวจดูภายในปากและลำคอ

 

การดูแลตนเอง

เนื่องจากโรคนี้เกิดจากเชื้อไวรัส และส่วนใหญ่จะไม่มีโรคแทรกซ้อนร้ายแรง เพียงแต่ให้การรักษาตามอาการก็หายได้เองเมื่อมีไข้และคางบวม ควรให้การดูแลรักษาตนเอง ดังนี้
1. พักผ่อน อย่าตรากตรำงานหนัก

2. ดื่มน้ำมากๆ

3. เช็ดตัวเวลามีไข้ให้ยาลดไข้ พาราเซตามอล ผู้ใหญ่ 1 - 2 เม็ด เด็ก 1/5  - 1 เม็ด หรือ 1 - 2 ช้อนชา) ซ้ำได้ทุก 6 ชั่วโมงเฉพาะเวลามีไข้สูงห้ามใช้แอสไพริน  สำหรับคนอายุต่ำกว่า 18 ปี เพราะอาจเสี่ยงต่อการเกิดโรคเรย์ซินโดรม (Reye’s syndrome) ซึ่งมีการอักเสบของสมองและตับอย่างรุนแรง  เป็นอันตรายได้

4. ใช้น้ำอุ่นจัดๆ ประคบตรงบริเวณที่เป็นคางทูมวันละ 2 ครั้ง แต่ถ้าปวด ให้ใช้ความเย็น (เช่น น้ำเย็น น้ำแข็ง) ประคบบรรเทาปวด

5. หลีกเลี่ยงการกินอาหารที่เคี้ยวยาก ในระยะแรกๆ ควรกินอาหารอ่อน เช่น ข้าวต้ม ซุป

6. หลีกเลี่ยงการกินอาหารรสเปรี้ยว น้ำส้มคั้น น้ำมะนาวคั้น เพราะอาจทำให้ปวดมากขึ้น

7. ควรหยุดเรียนหรือหยุดงาน พักรักษาตัวที่บ้านจนกว่าจะหาย เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อให้คนอื่น

 

ถ้ามีอาการข้อใดข้อหนึ่ง ควรไปพบแพทย์ ดังต่อไปนี้

1. ปวดศีรษะมาก อาเจียนมากหรือชัก                2. อัณฑะบวม

3. ปวดท้องมาก                                        4. หูตึงหรือได้ยินไม่ชัดเจน

5. เจ็บในคอมากหรือต่อมทอนซิลบวมแดง            6. ปวดฟันหรือเหงือกบวม

7. อ้าปากลำบากกินไม่ได้                              8. ก้อนที่บวมมีลักษณะบวมแดงมากหรือปวดมาก

9. ดูแลตัวเอง 7 วันแล้ว ก้อนยังไม่ยุบบวมหรือไข้ยังไม่ลด หรือมีอาการกำเริบซ้ำหลังจากหายแล้ว

10. มีความวิตกกังวลหรือไม่มั่นใจที่จะดูแลตนเอง