News! สัปดาห์ราชประชาสมาสัย ปี 2556
โรงพยาบาลท่าตูม รณรงค์สัปดาห์ราชประชาสมาสัย ปี 2556 (16 - 18 มกราคม 2556)
รายละเอียดข่าว..
สัปดาห์ราชประชาสมาสัย ปี 2556
สัปดาห์ราชประชาสมาสัย ปี 2556
(16 - 18 มกราคม 2556)
เพื่อเผยแพร่พระราชกรณียกิจพระมหากรุณาธิคุณ และเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงมีคุณูปการต่องานโรคเรื้อน ในการนี้โรงพยาบาลท่าตูมจึงได้จัดกิจกรรมรณรงค์สัปดาห์ราชประชาสมาสัย ประชาสัมพันธ์ และการรณรงค์ตรวจคัดกรองโรคผิวหนังเนื้อชา (โรคเรื้อน) ในพื้นที่ตำบลท่าตูม
โรคเรื้อน หรือ โรคผิวหนังเนื้อชา
เป็นโรคติดต่อเรื้อรังที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Mycobacterium Leprae โรคนี้จะเกิดกับเส้นประสาท เยื่อบุตา กระดูกและอวัยวะภายในร่างกายและเกิดรอยโรคที่เส้นประสาทส่วนปลาย จะก่อให้เกิดความพิการและนำมาซึ่งความทุกข์ทรมานทั้งร่างกายและจิตใจของผู้ป่วยเชื้อโรคเรื้อน Mycobacterium Leprae เป็นเชื้อแบคทีเรียที่อยู่ในสกุล Mycobaterium เช่นเดียวกับเชื้อวัณโรค โดยสามารถย้อมติดสีทนกรด (acidfaststain) เหมือนกัน
โรคเรื้อนเป็นโรคที่ติดต่อจากคนไปสู่คนเท่านั้น โดยแหล่งแพร่เชื้อที่สำคัญคือ ผู้ป่วยโรคเรื้อนในระยะ Lepromatous ที่ยังไม่ได้รับการรักษาในปัจจุบันเชื่อว่า ผู้ป่วยที่มีเชื้ออยู่ในร่างกายสามารถแพร่เชื้อโดยทางเดินหายใจมากที่สุด โดยเชื้อเหล่านี้สามารถมีชีวิตอยู่ภายนอกร่างกายผู้ป่วยได้ถึง 9 วัน เชื้อโรคเรื้อนเป็นเชื้อที่มีระยะฟักตัวช้ามาก คือ ประมาณ (3 – 5 ปี)
ภูมิต้านทานของคนไข้เป็นส่วนสำคัญที่สุดในการเกิดโรคซึ่งเป็นภูมิคุ้มกันชนิดพึ่งเซลล์ (CMI) หากผู้ที่รับเชื้อ Mycobacterium Leprae มี CMI ที่สามารถทำลายและยับยั้งการแพร่กระจายของเชื้อ Leprae ได้ผู้นั้นก็จะไม่เกิดอาการของโรคเรื้อน ดังนั้น ผู้ที่มีโอกาสเป็นโรคเรื้อนก็คือ ผู้ที่มี CMI ต่อ M.Leprae ที่ผิดปกติ
อาการและการติดต่อ
เกิดจากการสัมผัสคลุกคลีอย่างใกล้ชิด หรือ ใช้เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มร่วมกับผู้ป่วยที่อยู่ในระยะติดต่อเป็นเวลานาน ๆ ผู้ป่วยที่มีแผลโรคเรื้อนเชื้อโรคอาจปะปนมากับน้ำเหลือง น้ำหนอง น้ำมูก และสามารถติดต่อไปถึงผู้อื่นได้โดยการสัมผัส ระยะฟักตัวนานประมาณ 3 - 5 ปี จึงจะปรากฏ
อาการลักษณะอาการทางผิวหนัง ที่สังเกตุได้ง่ายคือ
1. เป็นวง สีซีดจางหรือเข้มกว่าผิวหนังปกติ มีอาการชา ผิวหนังแห้ง เหงื่อไม่ออก
2.เป็นผื่นรูปวงแหวนหรือแผ่นนูนแดง ขอบเขตผื่นชัดเจน มีอาการชา บางผื่นมีสีเข้มเป็นมัน บริเวณที่พบมาก คือ แขน ขาหลัง และสะโพก
3.เป็นตุ่มและผื่นนูนแดงหนา ผิวหนังอิ่มฉ่ำเป็นมัน ไม่คัน ผื่นมีจำนวนมาก รูปร่างและขนาดแตกต่างกัน กระจายไปทั่วตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น ใบหน้า ลำตัว แขน และขา การดำเนินของโรคจะเป็นไปอย่างช้า ๆ ใช้เวลาเป็นปี หากไม่รักษาตั้งแต่เริ่มเป็น เมื่อเส้นประสาทถูกทำลาย จะทำให้เกิดความพิการที่ตา มือ และเท้า
อาการที่น่าสงสัย
1.ผิวหนังเป็นวงด่าง สีจางกว่าผิวหนังปกติ มีอาการชา
2.มีผื่นที่ผิวหนัง ของเขตชัดเจน มีอาการชา ผิวแห้ง เหงื่อไม่ออก ขนร่วง
3.ผิวหนังเป็นผื่นนูนแดงหนา หรือ ตุ่ม ไม่มีอาการคัน
4.ตุ่มและผื่นนูนแดง จำนวนมาก ผิวหนังอิ่มฉ่ำเป็นมันไม่มีอาการคัน
5.มือเท้าชา อ่อนกำลัง กล้ามเนื้อลีบ นิ้วงอ
อาการทางผิวหนัง
- วงด่างขาวสีจางกว่าผิวหนังปกติ ไม่คัน
- ผื่นวงแหวนขอบแดงผิวแห้ง มีอาการชา
- ตุ่มและผื่นนูนแดง กระจายสองข้างของร่างกาย
อาการที่แสดงว่าเส้นประสาทส่วนปลายเริ่มถูกทำลาย คือ
1.ความรู้สึกบริเวณฝ่ามือ ฝ่าเท้าลดลง กระจกตา (ตาดำ) ชา
2.กล้ามเนื้อมือ เท้า ตา อ่อนกำลังลง
3.ผิวหนังบริเวณฝ่ามือ ฝ่าเท้าแห้ง เหงื่อไม่ออก
"หากอาการดังกล่าวนี้เกิดขึ้นในระยะเวลาไม่เกิน 6 เดือน
และได้รับการรักษาที่ถูกต้องทันเวลาจะไม่เกิดความพิการ"
การติดต่อ
เชื้อโรคเรื้อนอาศัยอยู่บริเวณใต้ผิวหนัง เส้นประสาทส่วนปลาย และ เยื่อบุจมูกของผู้ป่วยระยะติดต่อ ผู้ที่ไม่มีภูมิต้านทานต่อโรคเรื้อน หากคลุกคลีใกล้ชิดกับผู้ป่วยระยะติดต่อ มีโอกาสเป็นโรคเรื้อนได้ ประชาชนส่วนใหญ่จะมีภูมิต้านทานต่อโรคเรื้อนเมื่อได้รับเชื้อโรคเรื้อน โอกาสที่จะป่วยเป็นโรคมีเพียงประมาณร้อยละ 5 เท่านั้น เด็กมีโอกาสติดโรคมากกว่าผู้ใหญ่ เนื่องจากมีภูมิคุ้มกันน้อยกว่า ผู้สัมผัสโรคร่วมบ้าน ถ้าร่างกายแข็งแรงดี จะไม่เป็นโรค
ความพิการ
เนื่องจากเส้นประสาทส่วนปลายที่ไปเลี้ยงบริเวณใบหน้า ตา มือ และเท้าถูกทำลายจนสูญเสียหน้าที่ ทำให้เกิดความพิการ เช่น ตาหลับไม่สนิท มือเท้าชา อ่อนกำลัง กล้ามเนื้อลีบ นิ้วงอ เป็นแผลที่ฝ่ามือฝ่าเท้า เท้าตก ความพิการเหล่านี้สามารถป้องกันได้ โดยรีบมารับการรักษาตั้งแต่เริ่มเป็น และดูแลตนเองตามคำแนะนำของแพทย์หรือเจ้าหน้าที่
โรคเรื้อนรักษาหายได้
โรคเรื้อนสามารถรักษาให้หายขาดได้ ทั้งนี้ผู้ป่วยจะต้องได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง และสม่ำเสมอ ผู้ป่วยชนิดไม่ติดต่อ ใช้เวลารักษาเพียง 6 เดือน ส่วนผู้ป่วยชนิดติดต่อ ใช้เวลารักษา 2 ปี ขณะรับการรักษา ผู้ป่วยสามารถอยู่ร่วมกับครอบครัวและทำงานได้ตามปกติ ไม่จำเป็นต้องแยกตัวไปรักษาในโรงพยาบาล หรือนิคมโรคเรื้อน ยกเว้นกรณีที่เกิดอาการโรคแทรกซ้อนอย่างรุนแรง