สวีเดน ยันไม่พบ อาทริสถือสัญชาติ - มะกันทวิตเตือนอีก

สวีเดนยันไม่พบอาทริสถือสัญชาติ-ทูตมะกันทวิตเตือนอีก (ไอเอ็นเอ็น)
โฆษกกระทรวงต่างประเทศสวีเดนเผยสื่อสหรัฐ "อาทริส ฮุสเซน" ยังไม่สามารถยืนยันเป็นชาวสวีเดน บอก หนังสือเดินทางของฮุสเซนหมดอายุแล้ว ด้านทูตสหรัฐประจำประเทศไทย โพสต์ทวิตเตอร์ยังคงเตือนพลเมืองระวังก่อการร้ายในกทม.
เว็บไซต์นิวยอร์กไทมส์ สื่อสหรัฐได้สัมภาษณ์ นายอันเดอร์ จอร์เล โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของสวีเดนผ่านทางโทรศัพท์ เกี่ยวกับข่าวที่มีการจับกุมตัว นายอาทริส ฮุสเซน ผู้ต้องหาพัวพันกลุ่มฮิซบุลลอฮ์ใน กทม. หลังผู้ต้องหามีหนังสือเดินทาง ระบุสัญชาติเป็นชาวสวีเดน
โดยโฆษกกระทรวงต่างประเทศ บอกเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า หนังสือเดินทางสวีเดนของนายฮุสเซนได้หมดอายุแล้ว แม้ว่าภาพของหน้าหลักหนังสือเดินทางที่ปรากฏในสื่อไทยจะระบุว่า วันหมดอายุในปี 2015 โดย จอร์เล กล่าวอีกว่า ทางเรายังไม่เคยพบเห็นชายคนนี้ เราไม่สามารถยืนยันว่า เขามีสัญชาติสวีเดน
ขณะที่ globalpost.com รายงานจากการโพสต์ข้อความผ่านทางทวิตเตอร์ของนางคริสตี้ เคนนีย์ เอกอัครราชทูตสหรัฐ ประจำประเทศไทย ที่ยังยืนยันให้พลเมืองอเมริกันระวังภัยก่อการร้ายในพื้นที่กรุงเทพฯ โดยนางคริสตี้ยืนยันว่า เรายังย้ำและยังไม่ถอนคำเตือนต่อพลเมืองสหรัฐกับภัยก่อการร้ายในกรุงเทพฯ และเรายังติดต่อประสานงานกับเจ้าหน้าที่ไทยอย่างใกล้ชิด โดยนางคริสตี้ ยังระบุพื้นที่ที่เป็นเป้าหมายภัยก่อการร้ายให้พลเมืองสหรัฐ ควรหลีกเลี่ยงเข้าใกล้ คือ ถนนข้าวสารและถนนสุขุมวิท 22

[17 มกราคม] สหรัฐฯ ยันไม่ถอนคำเตือนก่อการร้ายในไทย

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก Thai PBS
สหรัฐฯ ยันไม่ถอนคำเตือนก่อการร้ายในไทย ด้านสภาท่องเที่ยวเผย นักท่องเที่ยวยกเลิกทัวร์เป็นจำนวนมาก แต่ที่ข้าวสารยังแน่นขนัดเหมือนเดิม หวั่นถ้ารัฐนิ่งเฉยส่งผลกระทบระยะยาวแน่
หลังจากที่สถานทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ออกประกาศเตือนชาวอเมริกัน ให้ระวังการก่อการร้ายที่อาจจะเกิดขึ้นในประเทศไทย ตามที่ได้นำเสนอข่าวไปแล้วนั้น ล่าสุด กระทรวงต่างประเทศของไทย ได้ออกมาชี้แจงสถานการณ์ และมาตรการป้องกันการก่อการร้ายในไทยแล้ว อีกทั้งยังได้ขอร้องให้สหรัฐฯ ถอนคำเตือนดังกล่าว แต่ทางสหรัฐฯ กลับปฏิเสธและยืนยันที่จะออกประกาศเตือนต่อไป
ด้าน พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้กล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า ขณะนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ขอให้กระทรวงกลาโหมสอบถามไปยังกระทรวงกลาโหมของสหรัฐฯ เกี่ยวกับการแจ้งเตือนการก่อการร้ายในไทย และได้ให้ถอนแจ้งเตือนในวันที่ 16 มกราคม อีกทั้งยังระบุว่า การแจ้งเตือนนั้นน่าจะมีความชัดเจนมากกว่านี้ ควรระบุที่ว่าที่ใด แต่สหรัฐฯ ตอบกลับมาว่า ไม่สามารถเลือกปฏิบัติได้ อีกทั้งยืนยันจะไม่ถอนคำเตือน เพราะเป็นการแจ้งเตือนเฉพาะชาวอเมริกันจึงต้องแจ้งในภาพรวม แต่ทั้งนี้คำเตือนนั้นก็ระบุแค่ว่า ควรระมัดระวังเหตุร้ายเฉย ๆ ไม่ได้เจาะจงว่าจะมีเหตุการณ์ร้ายแรง
ส่วนทางด้านรายงานจาก สำนักพิมพ์รอยเตอร์ส ระบุว่า รัฐบาลไทยมีท่าทีกังวลกับประกาศเตือนเป็นอย่างมาก เนื่องจากคำเตือนดังกล่าวส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวของประเทศ ซึ่งที่ผ่านมาประเทศไทยเพิ่งประสบปัญหาทางการเมืองในปี 2553 และปัญหาน้ำท่วมในปี 2554
ขณะที่ นายกงกฤช หิรัญกิจ ประธานฝ่ายนโยบาย สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า กลุ่มนักท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบไม่ใช่เพียงกลุ่มที่มาจากอเมริกา อังกฤษ และอิสราเอล แต่กระทบไปถึงนักท่องเที่ยวกลุ่มเอเชียที่หวั่นต่อข่าวความรุนแรง จึงอยากให้รัฐบาลออกมาตรการรักษาความปลอดภัยตามสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยว พร้อมกับเพิ่มความเข้มข้นเรื่องข่าวกรอง ระบบรักษาความปลอดภัยของประเทศ ส่วนภาคเอกชนตนได้ขอความร่วมมือให้สถานประกอบการได้ตรวจตราสิ่งของต้องสงสัยอย่างเข้มงวด
ด้าน นายศิษฏิวัชร ชีวรัตนพร นายกสมาคมไทยธุรกิจท่องเที่ยว กล่าวว่า ขณะนี้มี 12 ประเทศ ออกประกาศเตือนนักท่องเที่ยวให้ระวังการเดินทางมาไทย และมีการยกเลิกการท่องเที่ยวแล้วบางส่วน โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวอิสระ เช่น ไต้หวัน และ ญี่ปุ่น ส่วนนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเป็นคณะ หรือกรุ๊ปทัวร์ยังเดินทางตามปกติ โดยคาดว่า ภายใน 2-3 วันจะเริ่มเห็นการยกเลิกทัวร์เข้ามา
ส่วน นายพิพัฒน์ พัฒนานุสรณ์ ผู้จัดการฝ่ายขาย โรงแรมโฟร์ซีซั่น ย่านราชประสงค์ เปิดเผยว่า ภาพรวมการเดินทางของนักท่องเที่ยวคนไทยและชาวต่างชาติที่เข้าพักโรงแรมย่านราชประสงค์เป็นไปตามปกติ ตนมองว่า ข่าวสารที่นำเสนอไปยังต่างประเทศมีความน่ากลัวเกินจริง สร้างความตื่นตระหนกให้กับนักท่องเที่ยวทั่วโลก ซึ่งเรื่องดังกล่าวรัฐบาลต้องเร่งชี้แจง และออกมาตรการสร้างความเชื่อมั่นโดยด่วน นอกจากนี้ ตนคิดว่า ในระยะสั้นนั้นจะไม่ส่งผลกระทบแต่อย่างใด แต่ถ้าหากรัฐบาลยังยืดเยื้อแก้ปัญหาไม่ได้ มีผลกระทบแน่นอน
ขณะเดียวกัน นายสุรัตน์ วงศ์ชาญศิลป์ อดีตนายกสมาคมผู้ประกอบการค้าถนนข้าวสาร เปิดเผยว่า ในบริเวณข้าวสารก็ยังเห็นนักท่องเที่ยวไทย และต่างชาติ เดินทางไปยังสถานที่ท่องเที่ยวตามปกติ และเข้าพักโรงแรมตามปกติ ทั้งนี้เพราะกลุ่มนักท่องเที่ยวดังกล่าว เป็นนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาด้วยตัวเอง และมีความคุ้นเคยเกี่ยวกับข่าวก่อการร้าย อีกทั้งนักท่องเที่ยวส่วนมากยังเชื่อมันว่ารัฐบาลไทยจะมีมาตรการป้องกันได้ดี
ด้านนายสุรัตน์ วงศ์ชาญศิลป์ อดีตนายกสมาคมผู้ประกอบการค้าถนนข้าวสาร เปิดเผยว่า ขณะนี้นักท่องเที่ยวคนไทยและชาวต่างชาติ ยังเดินทางท่องเที่ยวสถานบันเทิง รวมถึงเข้าพักโรงแรมบริเวณถนนข้าวสารตามปกติ เนื่องจากนักท่องเที่ยวที่เดนทางเข้าพื้นที่ถนนข่าวสารส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวที่เดินทางด้วยตัวเอง (เอฟไอที) กลุ่มระดับกลางและระดับล่าง และเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวที่เดินทางระยะไกล แถบยุโรป ที่มีความคุ้นเคยกับข่าวการก่อการร้าย ซึ่งส่วนใหญ่มีความเชื่อมั่นว่ารัฐบาลไทยจะมีมาตรการการป้องกันการก่อร้ายที่ดี
อย่างไรก็ตาม ในช่วงเย็นของวันเดียวกัน เจ้าหน้าที่ได้นำตัว นายอาทริส ฮุสเซน สมาชิกกลุ่มก่อการร้าย "ฮิซบอลเลาะห์" ชาวสวีเดน เชื้อสายเลบานอน มาสอบปากคำเพิ่มเติม โดยเจ้าหน้าที่พยายามสอบสวนหาความเชื่อมโยงเกี่ยวกับการครอบครองสารแอมโมเนียไนเตรท ว่า มีผู้ใดเข้ามาเกี่ยวข้องบ้าง ก่อนที่จะย้ายตัวผู้ต้องหารายนี้ไปยังสถานที่ควบคุมตัวต่อไป ซึ่งในวันนี้ (17 มกราคม) จะรอคำสั่งว่า จะควบคุมนายอาทริส ไปยังกองบังคับการปราบปราม หรือจะให้คุมตัวไปไว้ที่ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.)
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก


[16 มกราคม] ค้นตึกแถวสมุทรสาคร พบสารประกอบระเบิดเพียบ


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก ครอบครัวข่าว 3
เมื่อช่วงเช้าวันที่ 16 มกราคม พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ได้คุมตัวนายอาทริส ฮุสเซน ไปตรวจค้นอาคารพาณิชย์ เลขที่ 52/15 หมู่ 2 อาคารพาณิชย์ 3 ชั้น ต.กาหลง อ.เมือง จ.สมุทรสาคร ในท้องที่ของ สภ.บางโทรัด จ.สมุทรสาคร หลังจากนายอาทริส ให้การว่า เช่าสถานที่แห่งนี้เป็นแหล่งซุกซ่อนสารผลิตวัตถุระเบิดตั้งแต่เดือนมกราคม พ.ศ.2553
ทั้งนี้ เบื้องต้นก่อนเข้าตรวจค้น เจ้าหน้าที่ได้ตัดสัญญาณโทรศัพท์ในระยะ 30 เมตรนับจากตัวอาคาร และใช้เวลาตรวจสอบร่วม 2 ชั่วโมง ก่อนที่ พ.ต.ท.กำธร อุ่ยเจริญ รอง ผกก.กลุ่มงานเก็บกู้และตรวจพิสูจน์วัตถุระเบิด หรือ อีโอดี จะเปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถตรวจยึดสารตั้งต้นในการผลิตระเบิด ประกอบด้วยปุ๋ยยูเรียกว่า 4,000 กิโลกรัม สารแอมโมเนียมไนเตรท อีก 30 ถัง ถังละ 30 กิโลกรัม ซึ่งทางทฤษฎีถ้าหากสารดังกล่าว ประกอบกันเป็นวัตถุระเบิดจะได้ปริมาณมหาศาล และมีอานุภาพทำลายล้างรุนแรงมากอย่างที่คาดไม่ถึง แต่อย่างไรก็ตามลำพังแค่ปุ๋ยยูเรีย หากไม่ประกอบกับสารอื่น ก็ไม่มีอันตรายอะไร แต่สารแอมโมเนียมไนเตรทนั้น สามารถระเบิดด้วยตัวเองได้ หากมีน้ำมันหรือประกายไฟจุดติด ซึ่งขณะนี้ได้นำเอาสารอันตรายต้องห้ามดังกล่าวมาเก็บไว้ยังหน่วยอีโอดี เพื่อตรวจสอบหาหลักฐานอื่นต่อไป



ขณะที่ พล.ต.ท.จรัมพร เปิดเผยว่า ในเบื้องต้นได้เก็บลายนิ้วมือแฝงจากสารประกอบวัตถุระเบิดมาตรวจสอบดีเอ็นเอของผู้ต้องสงสัยไว้แล้ว และดูจากพฤติการณ์ที่มีการนำแอมโมเนียมไนเตรทบรรจุใส่ถุงทรายแมว เพื่อตบตาเจ้าหน้าที่ และเตรียมส่งออกไปประเทศที่ 3 นั้น เจ้าหน้าที่เชื่อว่า ผู้ต้องสงสัยกลุ่มนี้ น่าจะเป็นเพียงตัวการในการจัดหาวัตถุดิบในประเทศไทย และส่งออกไปยังประเทศตะวันออกกลาง ไม่น่าจะเป็นการก่อวินาศกรรมในประเทศไทย ซึ่งล่าสุดในขณะนี้ทางเจ้าหน้าที่ได้คุมตัวผู้ต้องสงสัยมายังกองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดนแล้ว
ด้าน พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ระบุว่า นายฮุสเซน ได้ยอมรับว่า ไม่ได้มีเจตนาจะก่อการร้ายในประเทศไทย เพียงแต่นำสารที่ใช้ผลิตวัตถุระเบิดมาเก็บไว้ที่อาคารดังกล่าว เพื่อจะส่งออกนอกประเทศไปก่อการร้ายในประเทศอื่นเท่านั้น ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดเรื่องนี้ได้ แต่ขอให้มั่นใจได้ว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์ในประเทศไทยแน่นอน
ขณะที่นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ขอให้ประชาชนอย่าตื่นตระหนก โดย พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้รายงานถึงสถานการณ์ความคืบหน้า โดยยืนยันว่าไม่มีรายงานข่าวว่าอิสราเอลแจ้งเตือนจะมีการก่อวินาศกรรมชุมชน ชาวยิวในประเทศไทย ในวันที่ 12 กุมภาพันธ์นี้ และรัฐบาลสามารถควบคุมสถานการณ์ได้แล้ว พร้อมกันนี้ ได้สั่งการให้หน่วยงานความมั่นคงแห่งชาติ กระทรวงกลาโหม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ขณะที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติกำลังรอสรุปคดี ก่อนจะแถลงอย่างเป็นทางการ
อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรี ได้ยืนยันว่า เหตุการณ์ดังกล่าวไม่ถือเป็นสัญญาณบอกเหตุร้ายใด ๆ จึงขอให้ประชาชนมั่นใจในความปลอดภัย เพราะรัฐบาลได้ติดตามทุกความเคลื่อนไหวอย่างใกล้ชิด และมีการวางกำลังตรวจสอบสถานการณ์ในพื้นที่สาธารณะด้วย ขณะเดียวกัน ก็ได้มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศประสานกับทุกประเทศ เพื่อทำความเข้าใจกับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติแล้ว

และก่อนหน้านั้น ในวันที่ 15 มกราคม นายอังเดร เอ็มคันดาไวร์ โฆษกกระทรวงต่างประเทศของสวีเดน ได้ออกแถลงการณ์กรณีที่ทางการไทยได้จับกุม นายอาทริส ฮุสเซน ชาวเลบานอน ผู้ต้องสงสัยกลุ่มก่อการร้ายข้ามชาติขบวนการฮิซบอลเลาะห์ ว่า นายอาทริสนั้นถือหนังสือเดินทางของสวีเดน แต่ทั้งนี้สวีเดนก็ยังไม่สามารถยืนยันได้ว่า พาสปอร์ตฉบับนี้เป็นของผู้ต้องสงสัยรายนี้จริงหรือไม่ เจ้าหน้าที่สถานทูตสวีเดนประจำประเทศไทยกำลังพยายามติดต่อขอเข้าพบผู้ต้องสงสัยรายนี้อยู่
ขณะที่สำนักพิมพ์ฮาอาเรตซ์ ของอิสราเอล ได้ข้อมูลจากแหล่งข่าวว่า ระหว่างการสอบปากคำ อาทริส ฮุสเซน สมาชิกฮิซบอลเลาะห์วัย 48 ปี ให้การสารภาพว่า มีกลุ่มผู้ก่อการร้ายวางแผนโจมตีเป้าหมายชาวอิสราเอล ซึ่งหมายรวมถึงสถานที่ที่ชาวอิสราเอลอาศัยอยู่ ทั้งนี้ อิสราเอลได้แจ้งเตือนทางการไทย เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม ว่า สมาชิกฮิซบอลเลาะห์ 3 คน ได้เดินทางเข้ามายังประเทศไทยเพื่อก่อเหตุร้าย ต่อมาวันที่ 8 มกราคม อิสราเอลได้รับข่าวกรองชี้ว่า การก่อเหตุจะเกิดขึ้นในสัปดาห์นี้
ด้านทางการสหรัฐฯ ก็แจ้งรัฐบาลไทยตั้งแต่ช่วงก่อนคริสต์มาส ว่า ได้รับข้อมูลจากอิสราเอลเกี่ยวกับแผนก่อการร้าย ซึ่งหวังเล่นงานชาวตะวันตกและชาวอเมริกันในกรุงเทพฯ กลุ่มฮิซบอลเลาะห์ 3 คน ที่เข้ามาในประเทศไทย มีสัญชาติเลบานอน และยังถือหนังสือเดินทางของสวีเดน ทุกคนล้วนเคยเดินทางเข้าออกประเทศไทยในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ข้อมูลจากอิสราเอลนำทางเจ้าหน้าที่ไทยไปยังอพาร์ทเม้นท์แห่งหนึ่ง ย่านถนนข้าวสาร ในวันศุกร์ (13 มกราคม) แต่เมื่อเจ้าหน้าที่ไปถึง กลุ่มฮิซบอลเลาะห์ที่เหลือไหวตัวทัน และหนีไปก่อนแล้ว อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่สามารถจับตัว อิดริส ฮุสเซน บุคคลสัญชาติเลบานอน-สวิตเซอร์แลนด์ ได้ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ไม่กี่นาทีก่อนที่เขาจะขึ้นเครื่อง เดินทางออกจากประเทศไทย
อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวด้านกลาโหมอิสราเอล เปิดเผยกับหนังสือพิมพ์ฮาอาเรตซ์ ว่า ทางการไทยกำลังทำงานอย่างหนัก เพื่อป้องกันการก่อเหตุร้าย โดยคาดว่า อาจเกิดขึ้นก่อนวันที่ 12 กุมภาพันธ์ เนื่องจากเป็นวันครบรอบการลอบสังหาร "อิหมัด มุกห์นิเยห์" แกนนำระดับสูง และหัวหน้าชุดปฏิบัติการของฮิซบอลเลาะห์ ทั้งนี้ อิหมัด มุกห์นิเยห์ เสียชีวิตจากเหตุคาร์บอมบ์ในซีเรีย เมื่อปี 2008 ซึ่งเป็นเป้าหมายการลอบสังหารของ "มอสสาด" หน่วยสืบราชการลับของอิสราเอล มานานหลายปี
ส่วนทางด้าน พล.ต.อ.โกวิท พร้อมด้วย พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รมว.กลาโหม และนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.การต่างประเทศ ร่วมกันแถลงกรณีสถานทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทยออกแถลงการณ์เตือนประชาชนของตนเองให้ระมัดระวังการก่อวินาศกรรมในไทย โดย พล.ต.อ.โกวิท กล่าวว่า ถึงแม้ว่าจะมีการจับกุมผู้ต้องสงสัยได้ 1 คน แต่การเตือนภัยก่อการร้ายยังคงมีผลอยู่ นอกจากนี้ แหล่งข่าวผู้นี้ยังเรียกร้องให้ชาวอิสราเอลในประเทศไทยปฏิบัติตามคำสั่งของทางการ และหลีกเลี่ยงการเข้าพื้นที่กรุงเทพฯ โดยเฉพาะแถวถนนข้าวสาร ในช่วงนี้ ซึ่งทางรัฐบาลจะดูแลความปลอดภัยพี่น้องประชาชนอย่างเต็มที่ ความสงบทุกอย่างไม่ต้องเป็นกังวล เราจะร่วมมือกันทำงานให้เต็มที่ และถ้าสื่อมวลชนช่วยทำความเข้าใจกับประชาชนก็จะเกิดความสงบเรียบร้อยโดยเร็ว และการท่องเที่ยวต่าง ๆ ก็จะกลับเข้ามาเหมือนเดิม
นายสุรพงษ์ กล่าวว่า จากการสำรวจเว็บไซต์ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของแต่ละประเทศ ตั้งแต่วันที่ 14 ม.ค. ภายหลังจากสถานทูตสหรัฐออกแถลงการณ์เตือนไปแล้วนั้น ตอนนี้มีทั้งหมด 14 ประเทศด้วยกัน ที่ประกาศเตือนภัยให้กับประชาชนของประเทศตนเอง ประกอบด้วย เยอรมนี เนเธอร์แลนด์ อิสราเอล จีน และไต้หวัน ที่ไม่ได้อ้างอิงแถลงการณ์ของสหรัฐ ส่วนประเทศอื่น ๆ จะอ้างอิงตามประกาศของสหรัฐทั้งสิ้น
"ผมได้บอกไปแล้วว่ารู้สึกผิดหวังต่อกรณีที่เกิดขึ้น เนื่องจากทางสถานทูตสหรัฐฯ ไม่ได้หารือกับกระทรวงการต่างประเทศเลย และขอยืนยันว่าผมไม่เคยบอกว่าจะเชิญทูตประเทศต่าง ๆ เข้ามาตำหนิ เพราะความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเป็นสิ่งสำคัญมากที่เราจะต้องรักษา แต่วันนี้ผลกระทบที่ตามคือทัวร์ของประเทศต่าง ๆ ได้ยกเลิกการมาเที่ยวประเทศไทย เราเป็นห่วงเรื่องนี้มาก ฉะนั้นต้องรีบให้ประเทศเหล่านี้เข้าใจสถานการณ์" รมว.การต่างประเทศ กล่าว
ทางด้าน พล.อ.ยุทธศักดิ์ กล่าวว่า เหตุการณ์นี้เริ่มมีการเคลื่อนไหวกันตั้งแต่ 18 ธ.ค.54 โดยเราได้รับรายงานจากฝ่ายการข่าวของอิสราเอล ที่เรียกว่าหน่วยงานมอสสาด (MOSSAD) แต่เราดำเนินการด้วยความเงียบสงบ ไม่ต้องแพร่งพราย เพราะเกรงจะทำให้ประชาชนตกใจ มีความกังวล โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระทบกับการท่องเที่ยวอย่างมาก แต่พอมีข่าวซึ่งคิดว่า เป็นการตกใจของสหรัฐ เป็นผู้เปิดเรื่องนี้ขึ้นมาเพียงประเทศเดียว ฉะนั้นการเปิดเรื่องนี้ขึ้นมาก็ทำให้ประเทศไทยในฐานะที่ดำเนินการข่าวลับอยู่แล้วมีความไม่สบายใจ
"ขอยืนยันว่า ประเทศไทยไม่ใช่เป้าหมายของการก่อการร้าย แต่การที่ผู้ก่อการร้ายมาใช้พื้นที่ในกรุงเทพฯ เพื่อดำเนินการ เพราะว่าประเทศไทยมีความสงบมาก หรือเรียกว่า Soft Target เป็นเป้าหมายที่อ่อนนุ่ม ที่ผู้ก่อการร้ายและผู้ที่นำผู้ก่อการร้ายมาเคลื่อนไหว ดังนั้นเราจะเห็นว่า จุดหมายที่เกิดขึ้นไม่เกี่ยวกับทุกจังหวัดในประเทศไทยเลย เกี่ยวกับจังหวัดเดียวเท่านั้นคือ กรุงเทพฯ และบางจุดเท่านั้น ที่เป็นที่ชุมนุมของชาวอิสราเอลและสหรัฐ เช่น ถนนข้าวสาร ที่มีชาวอิสราเอลอยู่มากที่สุดใน กทม." พล.อ.ยุทธศักดิ์กล่าว
เมื่อถามว่า มีการแจ้งเตือนว่ากลุ่มผู้ก่อการร้ายจะเข้ามาในประเทศไทยกี่คน รมว.กลาโหม กล่าวว่า แจ้งมา 2 คน แต่ต่อมาแจ้งเพิ่มว่าอาจเข้ามาอีก 4-5 คน แต่ไทยติดตาม 2 คน และจับกุมได้ 1 คน เพราะใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศไทย และยอมรับสารภาพว่า ตั้งใจมาทำงานนี้ แต่ทำไม่ได้แล้ว เพราะถูกเปิดเผย ส่วนอีกหนึ่งคนนั้นออกไปแล้ว ไม่ต้องกังวลและยังไม่จำเป็นต้องยกระดับการระวังการก่อการร้าย
ขณะที่ พล.ต.อ.วิเชียร พจนโพธิ์ศรี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) กล่าวว่า การจับกุมชาวเลบานอนกลุ่มฮิซบุลเลาะห์ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่แม้ว่าระยะหลังมีการยกระดับการเคลื่อนไหว แต่ยืนยันว่าเรื่องดังกล่าวเป็นความขัดแย้งกันระหว่างอิหร่านกับอิสราเอลเท่านั้น และใช้ไทยเป็นทางผ่าน
ส่วนทางด้าน นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวระหว่างมาประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) สัญจรนอกสถานที่ ที่จังหวัดเชียงใหม่ ถึงกรณีกระทรวงการต่างประเทศของ 12 ประเทศออกประกาศเตือนนักท่องเที่ยวระวังการก่อการร้ายในไทยว่า ไทยขอยืนยันความมั่นใจในเรื่องความปลอดภัยในสถานที่สาธารณะ และความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว ซึ่งได้สั่งให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กองทัพ และสภาความมั่นคงฯ ดูความปลอดภัยและรายงานสถานการณ์ 24 ชั่วโมง
"แม้ทางสหรัฐมีการเตือนมา แต่ก็ไม่ได้เตือนอย่างเป็นทางการ ซึ่งได้มอบหมายให้กระทรวงต่างประเทศประสานกับทุกประเทศเพื่อสร้างความเข้าใจอันดีไม่ให้มีผลกระทบต่อการท่องเที่ยวในประเทศไทย โดยจะเเสดงถึงความเชื่อมั่นเเละเป็นหลักประกันให้ประชาชนทราบว่าไทยมีความปลอดภัยกับนักท่องเที่ยวเเละผู้ที่จะเดินทางเข้าประเทศไทย" นางสาวยิ่งลักษณ์ กล่าว
[15 มกราคม] โกวิท แถลงคุมก่อการร้ายได้ ขออย่าห่วง

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
โกวิท พร้อม รัฐมนตรีกลาโหม และรัฐมนตรีต่างประเทศ แถลง ขอประชาชนอย่ากังวลก่อการร้าย ซึ่งสถานการณ์ทั้งหมดขณะนี้อยู่ในความควบคุมของเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงแล้ว ยืนยัน ไทยไม่ใช่เป้าหมาย
วันนี้ (15 มกราคม) พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ รองนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และ นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ร่วมกันแถลงข่าวเรื่องการก่อการร้ายว่า ประชาชนไม่ต้องเป็นห่วง เพราะหน่วยงานความมั่นคง หน่วยข่าวกรอง ได้ติดตามความเคลื่อนไหวอยู่ตลอด รัฐบาลจะดูแลความสงบเรียบร้อย ความปลอดภัยอย่างเต็มที่ โดยยืนยันว่า ประเทศไทยไม่ใช่เป้าหมายของกลุ่มก่อการร้าย
พล.ต.อ.โกวิท กล่าวต่อว่า การที่ผู้ก่อการร้ายมาใช้ประเทศไทยเป็นฐาน เพราะประเทศมีความสงบ และสถานการณ์ทั้งหมดขณะนี้อยู่ในความควบคุมของเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง และผู้ก่อการร้ายต่าง ๆ ได้ออกจากประเทศไทยหมดแล้ว ดังนั้นเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ในลักษณะดังกล่าวอีก จึงได้เชิญผู้ช่วยทูตทหารของประเทศสหรัฐอเมริกามาหารือ
ทั้งนี้ จากการสำรวจเว็บไซต์ของหน่วยงานของแต่ละประเทศ พบว่ามี 14 ประเทศ ที่ประกาศเตือนภัยนักท่องเที่ยวประเทศตัวเอง ให้ระมัดระวังการท่องเที่ยวในประเทศไทย โดยกระทรวงการต่างประเทศจะแจ้งให้เอกอัครราชทูตไทยในประเทศต่าง ๆ ชี้แจงให้เข้าใจถึงสถานการณ์ และความถูกต้อง


[14 มกราคม] ลำดับเหตุการณ์หลังสหรัฐฯ เตือนกรุงเทพฯ เป็นเป้าหมายก่อการร้าย
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
เฉลิม ยืนยัน จับ 2 ก่อการร้ายชาวเลบานอน สมาชิกกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ ได้แล้ว บอกตำรวจรู้มาก่อนล่วงหน้าแล้ว และวันนี้เรามีลำดับเหตุการณ์ หลังสหรัฐฯ เตือนกรุงเทพฯ เป็นเป้าหมายก่อการร้าย เมื่อวันที่ 13 มกราคมมาให้อ่านกัน
จากกรณีที่สถานทูตสหรัฐอเมริกา ออกประกาศเตือนนักท่องเที่ยว ให้ระวังการก่อการการร้ายใน กทม. ล่าสุด ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ได้ชี้แจงถึงเรื่องดังกล่าวว่า เป็นเรื่องที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจรู้มาก่อนล่วงหน้าแล้ว และขณะนี้ก็สามารถควบคุมสถานการณ์เอาไว้ได้แล้ว จึงขอให้ทุกภาคส่วนสบายใจได้ อีกทั้งทางตำรวจได้ควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยไว้ได้เป็นกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ คาดว่า เป็นชาวเลบานอน แต่ไม่ขอบอกรายละเอียดว่ามีกี่คนและเข้ามาในประเทศไทยเมื่อไหร่ ซึ่งตำรวจกำลังดำเนินการสอบสวน เพื่อหาความชัดเจนอยู่ พร้อมกับย้ำว่า ขอให้ประชาชนมั่นใจและเชื่อมั่นว่าสถานการณ์จะไม่รุนแรง ซึ่งถ้ามีความคืบหน้าหรือชัดเจนจะแจ้งให้ทราบทันที
ด้าน พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ตำรวจรู้ล่วงหน้ามาตั้งแต่ช่วงปลายปีที่ผ่านมา ซึ่งขณะนี้ก็กำลังควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยไว้ เพื่อสอบสวนแล้ว โดยขอเวลาอีกสักพักเพื่อให้ตำรวจได้หาความชัดเจนอีกครั้งก่อน และมั่นใจว่าจะไม่เกิดความรุนแรงขึ้น
ขณะที่ พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยอมรับว่า ได้รับการแจ้งเตือนจากสหรัฐฯ ใน 1-2 วันที่ผ่านมา โดยเจ้าหน้าที่การข่าวของไทยและสหรัฐฯ ได้ติดตามผู้ต้องสงสัย 2 คน ที่เดินทางเข้ามาอย่างใกล้ชิด ซึ่งไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นสัญชาติใด จากการรายงานของหน่วยข่าว พบว่า ผู้ก่อเหตุน่าจะเชื่อมโยงกับบทบาทของสหรัฐฯ ที่ปฏิบัติการในอิหร่านอยู่ในขณะนี้ อย่างไรก็ตาม ได้แจ้งเตือนแต่ละหน่วยงานให้เฝ้าระวังพื้นที่ในจุดเสี่ยงอย่างเข้มข้น แต่เท่าที่ดูพฤติกรรมของ 2 คน ยังไม่พบสิ่งผิดปกติว่า จะมีการก่อเหตุตามที่แจ้งมาแต่ยืนยันว่าหน่วยข่าวไทยและสหรัฐฯ จะเฝ้าติดตามตลอด 24 ชั่วโมง หากพบว่าจะลงมือก่อเหตุ เจ้าหน้าที่ก็จะดำเนินการจับกุมได้ทันที
ทางด้าน นายธานี ทองภักดี อธิบดีกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ แถลงข่าวว่า ในกรณีนี้ว่าให้ทาง พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เป็นผู้ชี้แจง ซึ่งหน่วยงานความมั่นคงทั้งไทยและสหรัฐฯ ก็ได้ประสานงานกันอย่างใกล้ชิด ทั้งนี้ ก็ได้เพิ่มการรักษาความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่เพิ่มมากขึ้น
ขณะเดียวกัน หลังจากสหรัฐฯ ได้มีประกาศแจ้งเตือนดังกล่าวในเว็บไซต์แล้ว ก็ส่งผลให้ประเทศอื่น ๆ ประกาศเตือนพลเมืองของตัวเองในการเดินทางมาประเทศไทยเช่นกัน โดยเว็บไซต์สถานทูตญี่ปุ่นประจำไทย ได้แจ้งให้ชาวญี่ปุ่นที่อยู่ในประเทศไทยติดตามข้อมูล และระมัดระวังเมื่ออยู่ในสถานที่ที่มีคนจำนวนมาก นอกจากนั้นหากพบความผิดปกติให้รีบออกจากพื้นที่ทันที
ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศอังกฤษ ได้แนะนำให้ชาวอังกฤษที่อยู่ในประเทศไทยใช้ความระมัดระวังและปฏิบัติตามคำแนะนำด้านความปลอดภัยของไทย เช่นเดียวกับกระทรวงการต่างประเทศของแคนาดาที่แจ้งเตือนว่า ทางสหรัฐฯ ได้ประกาศว่าอาจจะมีการก่อการร้ายในประเทศไทย และทางการไทยได้เพิ่มระดับรักษาความปลอดภัยแล้ว
ทั้งนี้ ล่าสุดมีทั้งหมด 11 ประเทศ เตือนพลเมืองที่อยู่ในกรุงเทพฯ ใช้ความระมัดระวังมากขึ้น ตามคำประกาศของทางสหรัฐฯ แต่ไม่ได้มีคำสั่งให้ยกระดับการเตือนในการเดินทางมาประเทศไทย ประกอบด้วย ออสเตรเลีย แคนาดา สหราชอาณาจักร ไอร์แลนด์ ออสเตรีย อิตาลี สวีเดน นอร์เวย์ เยอรมนี เนเธอร์แลนด์ และญี่ปุ่น
ลำดับเหตุการณ์ หลังสหรัฐฯ เตือนกรุงเทพฯ เป็นเป้าหมายก่อการร้าย เมื่อวันที่ 13 มกราคม









อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก


[13 มกราคม] สถานทูตสหรัฐฯ เตือนผู้ก่อการร้าย มีแผนถล่มกรุงเทพฯ

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย
วันนี้ (13 มกราคม) ทางเว็บไซต์สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ในกรุงเทพฯ ได้ออกประกาศแจ้งเตือนชาวอเมริกันที่อยู่ในประเทศไทยตอนนี้ให้ระมัดระวังว่า ในไม่ช้านี้กลุ่มผู้ก่อการร้ายต่างชาติ กำลังวางแผนที่จะก่อเหตุวินาศกรรมบริเวณจุดท่องเที่ยวต่าง ๆ ทั่วกรุงเทพฯ จึงขอให้พลเมืองชาวอเมริกันใช้ความระมัดระวังเมื่อไปอยู่ในที่สาธารณะหรือบริเวณที่ชาวตะวันตกไปรวมตัวกันอยู่เยอะ ๆ โดยเฉพาะบริเวณสถานที่ท่องเที่ยวรอบ ๆ กรุงเทพฯ
ทั้งนี้ หากผู้ใดพบเห็นสิ่งใดผิดปกติตามที่สาธารณะ ไม่ว่าจะเป็นกล่องพัสดุ กระเป๋าเสื้อผ้า ฯลฯ หรือพฤติกรรมของใครก็ตามที่ดูผิดสังเกตหรือน่าสงสัย ให้รีบแจ้งต่อเจ้าหน้าที่ที่อยู่ใกล้ที่สุดทันที