News! วันไตโลก 2012
รายละเอียดข่าว..
วันไตโลก 2012
วันไตโลก 2012

สมาคมโรคไตแห่งประเทศไทยคาดการณ์ว่า ประเทศไทยมีผู้ป่วยเป็นโรคไตเรื้อรังประมาณ 7 ล้านคน โดยครึ่งหนึ่งเป็นผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังในระยะต้น และอีกครึ่งหนึ่งเป็นผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังในระยะปานกลางถึงรุนแรง ผู้ป่วยโดยมากมักไม่รู้ตัวว่าเป็นโรคไต จึงไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที คนส่วนใหญ่ตรวจเจอว่าเป็นโรคไตโดยบังเอิญจากผลเลือดหรือปัสสาวะโดยที่ยังไม่มีอาการใด นอกจากนี้ยังมีความเชื่อว่าอาการปวดหลัง อาการขาบวม น่าจะเกิดจากโรคไต จึงมักขอตรวจว่าเป็นโรคไตหรือไม่ ซึ่งผลตรวจส่วนใหญ่จะพบว่าการทำงานของไตเป็นปกติดี อาการปวดหลังอาจเกิดจากโรคของกระดูกหรือกล้ามเนื้อ หรือมีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นโรคนิ่วที่ไต ส่วนอาการขาบวมนั้นสามารถพบได้ทั้งผู้ที่เป็นโรคไต โรคหัวใจ โรคตับ หรือโรคหลอดเลือดที่ขา ดังนั้นผู้ที่มีอาการเหล่านี้จึงจำเป็นต้องได้รับการตรวจหาสาเหตุอย่างละเอียด เนื่องจากทั้งอาการปวดหลัง และขาบวม ล้วนแต่เป็นอาการที่ไม่เฉพาะเจาะจงว่าต้องเป็นโรคไตเท่านั้น ไตทำหน้าที่อะไร ใครบ้างที่เสี่ยงต่อการเป็นโรคไตวาย ปัจจุบันมีการรักษาโรคไตอย่างไร และเราจะป้องกันไม่ให้เป็นโรคไตได้อย่างไร ร่วมหาคำตอบเพื่อดูแลสุขภาพของท่านและคนที่ท่านรักได้จากบทความนี้ เนื่องในวันไตโลกประจำปี พ.ศ. 2555 หรือ World Kidney Day 2012
“ไต” ทำหน้าที่อะไรบ้าง
ไต (kidney) เป็นอวัยวะที่มีรูปร่างคล้ายถั่ว ขนาดประมาณเท่ากำปั้น อยู่บริเวณชายโครงด้านหลังทั้งสอง หน้าที่หลักของไตคือการกรองของเสียที่อยู่ในเลือดจากทั่วร่างกาย ออกมาเป็นน้ำปัสสาวะ ไหลมาตามท่อไต (ureter) ส่งมาเก็บที่กระเพาะปัสสาวะ (bladder) เมื่อกระเพาะปัสสาวะมีปริมาณปัสสาวะมากพอก็จะส่งสัญญาณประสาทไปที่สมอง ทำให้เรารู้สึกปวดปัสสาวะ และต้องขับปัสสาวะผ่านทางท่อปัสสาวะ (urethra) ออกนอกร่างกาย
นอกจากไตจะมีหน้าที่กรองของเสียออกจากร่างกายแล้ว ไตยังทำหน้าที่สำคัญอื่นอีก ได้แก่ การควบคุมความดันโลหิต การควบคุมสมดุลของเกลือแร่และภาวะกรดด่างภายในร่างกาย ไตมีส่วนช่วยในกระบวนการสร้างเม็ดเลือดแดง และกระบวนการสร้างวิตามินดี เป็นต้น
โรคไตมีกี่แบบ
โรคไต คือ โรคที่สร้างความเสียหายเกิดขึ้นในไต ทำให้ไตทำงานลดลง หรือพบว่ามีโปรตีนรั่วหรือมีเซลผิดปกติในปัสสาวะ แบ่งเป็น 2 แบบ คือ โรคไตวายเฉียบพลัน และ โรคไตเรื้อรัง
โรคไตวายเฉียบพลัน (acute renal failure, ARF หรือ acute kidney injury, AKI) เกิดจากโรคที่ทำให้ไตเสื่อมอย่างรวดเร็ว เช่น ภาวะที่ทำให้เลือดไปเลี้ยงไตน้อยลง เช่นจากการเสียเลือดจากอุบัติเหตุ ท้องเสียรุนแรง ภาวะขาดน้ำรุนแรง ภาวะไตอักเสบอย่างรุนแรง (acute glomerulonephritis) ภาวะทางเดินปัสสาวะอุดตันเฉียบพลัน ถ้าภาวะต่างๆ ดังกล่าวได้รับการแก้ไขโดยเร็ว การทำงานของไตอาจกลับมาเป็นปกติได้ แต่หากแก้ไขไม่ทันหรือไม่ตอบสนองต่อการรักษาจะทำให้ไตเสื่อมการทำงานไปเรื่อยๆ จนทำให้เกิดภาวะโรคไตวายเรื้อรังได้
โรคไตเรื้อรัง (chronic kidney disease, CKD) เป็นภาวะที่ไตสูญเสียการทำงานไปจากเดิม เป็นระยะเวลามากกว่า 3 เดือน โดยแบ่งตามความสามารถในการทำงานของไตที่ยังเหลืออยู่เป็น 5 ระยะ คือ
- ระยะที่ 1 (stage 1) ไตยังสามารถทำงานได้มากกว่า 90 เปอร์เซนต์
- ระยะที่ 2 (stage 2) การทำงานของไตอยู่ระหว่าง 60-90 เปอร์เซนต์ คือ ภาวะไตเสื่อมเล็กน้อย
- ระยะที่ 3 (stage 3) ไตทำงานได้เพียง 30-59 เปอร์เซนต์ คือ ภาวะไตเสื่อมปานกลาง ระยะนี้อาจเริ่มมีอาการบวมน้ำ ความดันโลหิตสูง โลหิตจาง กระดูกผิดปกติ ผู้ป่วยควรเริ่มการรักษากับอายุรแพทย์โรคไตในระยะนี้ ซึ่งสามารถควบคุมได้ด้วยยา
- ระยะที่ 4 (stage 4) ไตทำงานระหว่าง 15-29 เปอร์เซนต์ คือ ภาวะไตเสื่อมการทำงานอย่างมาก ระยะนี้จะพบความผิดปกติมากกว่าระยะที่ 3 ผู้ป่วยควรได้รับการเตรียมตัวเพื่อป้องกันการเข้าสู่ระยะที่ 5
- ระยะที่ 5 (stage 5) ไตทำงานน้อยกว่า 15 เปอร์เซนต์ คือ ภาวะไตวายระยะสุดท้าย (end stage renal disease) ไตไม่สามารถรักษาภาวะสมดุลของร่างกายอีกต่อไปได้ หากไม่ได้รับการรักษาผู้ป่วยจะไม่สามารถดำรงชีวิตต่อไปได้ ผู้ป่วยควรรับการล้างไตแบบฟอกเลือดหรือทางหน้าท้อง หรือรักษาด้วยการการปลูกถ่ายไต ในปัจจุบัน มีผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายมากกว่า 30,000 รายในประเทศไทย
โรคไตเรื้อรังระยะเริ่มต้นอาจไม่มีอาการหรืออาการไม่ชัดเจน ผู้ป่วยมักเกิดอาการเมื่อการทำงานของไตเสื่อมมากแล้ว อาการผิดปกติเช่น เบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน ท้องเสีย อ่อนเพลียไม่มีแรง ง่วงซึมหลับง่าย ขาดสมาธิ แขนขาบวมตาบวม ปัสสาวะน้อยลงเวลากลางวัน ตื่นมาปัสสาวะบ่อยเวลากลางคืน ปัสสาวะเป็นฟอง ผิวหนังแห้งคัน สีผิวคล้ำ สิ่งที่ตรวจพบเป็นประจำในผู้ป่วยโรคไต คือ ความดันโลหิตสูง ปัสสาวะผิดปกติ อาจตรวจพบภาวะโลหิตจาง และภาวะเกลือแร่ในเลือดผิดปกติร่วมด้วย
ผู้ที่เสียงต่อการเป็นโรคโรคไตเรื้อรัง และควรรับการตรวจสุขภาพไต
- ผู้ที่มีประวัติคนในครอบครัวป่วยเป็นโรคไต
- ผู้ที่มีโรคประจำตัวชนิดเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคลูปัส โรครูมาตอยด์ โรคเก๊าท์ เป็นต้น
โรคที่ทำให้การทำงานของไตเสียหายจนทำให้ไตเสื่อมที่พบบ่อยที่สุด คือ โรคเบาหวาน และ โรคความดันโลหิตสูง โดยพบเป็นสัดส่วนรวมกันมากกว่าร้อยละ 40-60 ในผู้ป่วยไตวายระยะสุดท้าย
โรคโครงสร้างไตผิดปกติตั้งแต่กำเนิดซึ่งเป็นผลจากพันธุกรรมเช่น โรคถุงน้ำในไต (polycystic kidney disease) โรคไตอักเสบจากภูมิแพ้ร่างกายตัวเองเช่น โรคลูปัสหรือโรคเอสแอลอี (SLE) โรครูมาตอยด์ (rheumatoid arthritis) โรคไวรัสตับอักเสบ บี หรือ ซี (Viral Hepatitis B or C) เป็นต้น กลุ่มโรคเหล่านี้ทำให้ตรวจพบความผิดปกติของปัสสาวะ เช่น มีเม็ดเลือดแดงหรือเม็ดเลือดขาวปริมาณมากปะปนอยู่ในปัสสาวะ หรือ มีโปรตีนมากในปัสสาวะ ร่วมกับมีผลเลือดผิดปกติ
โรคเก๊าท์ (gout) เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ไตเสื่อมได้เช่นกัน เนื่องจากมีกรดยูริกตกตะกอนที่ไตทำให้ไตวาย หรือเกิดเป็นนิ่วภายในไต หรือ หากเกิดก้อนนิ่วอุดตันทางเดินปัสสาวะก็ทำให้ไตวายได้
โรคติดเชื้อที่ไตชนิดเรื้อรัง (chronic pyelonephritis) ทำให้โครงสร้างภายในไตถูกทำลายจนเกิดภาวะไตวาย
- ผู้ที่รับประทานยาต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งยาแก้ปวดกลุ่มแอสไพริน NSAIDs COX2-inhibitors ยาสมุนไพร ยาเสพติด ซึ่งยาเหล่านี้บางประเภทมีพิษต่อไต หรืออาจทำให้เกิดอาการแพ้ที่ไต หากบริโภคยาเป็นเวลานานอาจทำให้ไตวายได้
อยากรู้ว่าเป็นโรคไตหรือไม่ ต้องตรวจอะไรบ้าง
ในทางการแพทย์เมื่อพูดถึงการทำงานของไต จะหมายถึงอัตราความสามารถในการกรองของเสียออกจากเลือด หรือ Glomerular Filtration Rate (GFR) โดยใช้ค่าครีเอตินินในเลือด (creatinine) มาคำนวณในสูตรที่ใช้ประเมินการทำงานของไต ซึ่งสูตรที่ใช้คำนวณจะแตกต่างกันในเพศชายและเพศหญิงและเชื้อชาติ คนที่การทำงานของไตทั้งสองข้างปกติจะทำงานรวมกันได้ 100 เปอร์เซ็นต์ และไตจะเริ่มทำงานลดลงเมื่ออายุมากขึ้น ถ้าความสามารถในการกรองเสียของไตน้อยกว่า 60 เปอร์เซ็นต์ จะถือว่าไตทำงานผิดปกติ และเมื่อไตทำงานน้อยกว่า 10-15 เปอร์เซ็นต์ ถือว่าเป็นโรคไตวายระยะสุดท้าย จำเป็นต้องได้รับการรักษาด้วยการฟอกเลือดหรือล้างไตทางหน้าท้องหรือการปลูกถ่ายไต เพื่อที่จะดำรงชีวิตต่อไปได้ สำหรับคนที่มีไตข้างเดียว เช่น เกิดมามีไตข้างเดียว หรือผู้บริจาคไต หรือเกิดจากอุบัติเหตุ ก็สามารถดำเนินชีวิตได้ตามปกติถ้าไตที่เหลืออยู่สามารถทำงานได้ดี
ดังที่กล่าวข้างต้นว่าการประเมินการทำงานของไต สามารถคำนวณได้โดยใช้ผลเลือดครีเอตินิน และผลตรวจปัสสาวะ และผลตรวจระดับโปรตีนหรือระดับโปรตีนขนาดเล็กที่เรียกว่า microalbumin (ไมโครอัลบูมิน) เพื่อนำค่าที่ได้มาหาสัดส่วนของโปรตีนในปัสสาวะต่อครีเอตินินในปัสสาวะ (urine protein to creatinine ratio หรือ urine microalbumin to creatinine ratio) นอกจากการตรวจคัดกรองโรคไตด้วยการตรวจเลือดและปัสสาวะเบื้องต้นแล้ว การถ่ายภาพไตและระบบทางเดินปัสสาวะด้วยอัลตร้าซาวด์ หรือ เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ซีทีสแกน (CT scan) เพื่อดูโครงสร้างของไต ก็สามารถทำได้เช่นกัน แพทย์อาจส่งตรวจเลือดเพิ่มเติมเพื่อตรวจภาวะที่ไตเสื่อมการทำงานแล้วมีผลกระทบต่อระบบอื่นๆในร่างกาย เช่นการตรวจระดับของเสียที่ขับโดยไต (บียูเอ็น ,BUN) สารเกลือแร่ (electrolytes) โซเดียม โปแตสเซียม แคลเซียม ฟอสฟอรัส กรดยูริก ภาวะกรดด่างในเลือด ระดับโปรตีนอัลบูมิน เอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างกระดูก (alkaline phosphataste) ระดับความเข้มข้นของเม็ดเลือดแดง ระดับธาตุเหล็ก ระดับฮอร์โมนพาราไทรอยด์ ระดับวิตามินดี ระดับไขมัน ระดับฮีโมโกลบินเอวันซี (Hb A1C) และอาจส่งเลือดเพื่อตรวจหาสาเหตุที่ทำให้ไตทำงานผิดปกติ เช่น ระดับค่าการอักเสบอีเอสอาร์ (ESR) ค่าเอเอ็นเอ (ANA) ค่ารูมาตอยด์แฟคเตอร์ (Rheumatoid factor) การตรวจเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดบี (HBsAg) การตรวจภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดซี (Anti-HCV) รวมถึงการตรวจหาเชื้อเอชไอวี (Anti-HIV) สำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคไตอาจต้องเจาะชิ้นเนื้อไต (kidney biopsy)เพื่อตรวจยืนยันชนิดของการอักเสบในไตและใช้ประเมินผลการรักษาเพิ่มเติม
ขั้นตอนในการรักษาโรคไต
เมื่อตรวจพบว่าเป็นโรคไตตั้งแต่ระยะที่ 3 เป็นต้นไป จำเป็นต้องควบคุมการรับประทานอาหาร ความดันโลหิต ระดับน้ำตาลในเลือด ระดับไขมันในเลือด ความเข้มข้นของเลือด และระดับเกลือแร่ในเลือด รวมถึงหลีกเลี่ยงการใช้สารที่เป็นพิษต่อไต เช่น บุหรี่ ยาบางประเภท การฉีดสารทึบรังสี (contrast media) หรือที่คนทั่วไปเรียกว่าการฉีดสีเข้าหลอดเลือดระหว่างตรวจด้วยเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ หรือขณะตรวจเส้นเลือดหัวใจด้วยการสวนหัวใจ (coronary angiogram)
ผู้ป่วยโรคไตจำเป็นต้องควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ระหว่าง 120/70 ถึง 130/80 มิลลิเมตรปรอท โดยที่อายุรแพทย์โรคไตมักแนะนำให้รับประทานยากลุ่ม angiotensin converting enzyme inhibitor (ACEI) และ/หรือกลุ่ม angiotensin receptor blocker (ARB) และ/หรือกลุ่ม direct renin inhibitor (DRI) เนื่องจากยากลุ่มหลักเหล่านี้สามารถชะลอการเสื่อมของไตได้
สำหรับผู้ป่วยโรคไตที่มีโรคเบาหวานร่วมด้วย จำเป็นต้องควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้ใกล้เคียงค่าปกติให้ได้มากที่สุด โดยอย่าให้เกิดภาวะน้ำตาลต่ำบ่อยๆ และควรควบคุมระดับฮีโมโกลบินเอวันซีในเลือด (HbA1c) ให้น้อยกว่า 6.5 เปอร์เซนต์ หากเป็นโรคไตตั้งแต่ระยะที่ 4 เป็นต้นไป แพทย์มักแนะนำให้ใช้ยาฉีดอินซูลินเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งปลอดภัยและมีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดภาวะน้ำตาลต่ำน้อยกว่ายาชนิดรับประทาน
การควบคุมระดับไขมันในเลือดสำหรับผู้ป่วยโรคไต ควรควบคุมระดับคอเลสเตอรอลชนิดแอลดีแอล (LDL-choloesterol) ให้มีค่าน้อยกว่า 100 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร (mg/dl) และระดับไตรกลีเซอไรด์ (triglycerides) ให้มีค่าน้อยกว่า 150 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร โดยพิจารณาเลือกใช้ยากลุ่มสแตติน (statins) เพื่อช่วยควบคุมระดับไขมันในเลือด
ระดับสารเกลือแร่หรืออิเล็กโทรไลต์ในเลือด เช่น โซเดียม โพแทสเซียม แคลเซียม ฟอสฟอรัส ให้อยู่ในเกณฑ์ใกล้เคียงปกติ โดยการควบคุมอาหาร หรือ ใช้ยาชนิดรับประทานเพื่อควบคุมระดับเกลือแร่ให้ได้ตามเกณฑ์
ผู้ป่วยโรคไตมักจะมีความเข้มข้นของเม็ดเลือดแดงลดลงตามความสามารถในการทำงานของไต ถ้าหากค่าความเข้มข้นของเม็ดเลือดแดงต่ำลงมาก ผู้ป่วยจะมีอาการซีด อ่อนเพลีย รู้สึกหนาวง่าย การเพิ่มปริมาณเม็ดเลือดแดงสามารถทำได้ด้วยการฉีดยากระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดง (erythropoiesis stimulating agents หรือ ESA) เพื่อให้ได้ความเข้มข้นของเลือดประมาณ 33-36 เปอร์เซนต์ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ไห้ผู้ป่วยต้องรับการให้เลือดเป็นประจำ
การควบคุมอาหารสำหรับผู้ป่วยโรคไต
การควบคุมอาหารในผู้ป่วยโรคไต คือ การจำกัดปริมาณอาหารที่รับประทานในแต่ละวันให้พอดีกับความสามารถของไต ไม่ให้ไตทำงานหนักเกินไป เช่น ลดการบริโภคอาหารเค็ม อาหารที่มีเกลือโพแทสเซียมสูง ลดปริมาณเนื้อสัตว์ ลดของมันของทอดหรืออาหารที่มีกะทิเป็นส่วนประกอบ ผู้ป่วยสามารถปรึกษานักโภชนากรในรายละเอียดของอาหารตามที่อายุรแพทย์โรคไตกำหนดอาหารมาให้ ส่วนปริมาณน้ำดื่มนั้นขึ้นอยู่กับภาวะของไต ถ้าหากไตไม่เสื่อมมากผู้ป่วยควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 2 ลิตร แต่ถ้าไตเสื่อมมาก ผู้ป่วยจำเป็นต้องลดปริมาณน้ำดื่มลงมาให้อยู่ในภาวะสมดุลตามที่อายุรแพทย์โรคไตกำหนด
การรักษาด้วยการล้างไต
เมื่อผู้ป่วยเริ่มเข้าสู่โรคไตเรื้อรังระยะที่ 5 แพทย์จะแนะนำให้ผู้ป่วยเตรียมตัวสำหรับการรักษาด้วยการล้างไต การล้างไตทำได้ 2 วิธี คือ การล้างไตผ่านทางหน้าท้อง (peritoneal dialysis) และ การล้างไตด้วยการฟอกเลือด (hemodialysis)
การล้างไตทางหน้าท้อง (Peritoneal Dialysis, PD)
ถ้าผู้ป่วยเลือกล้างไตทางหน้าท้อง แพทย์จะส่งผู้ป่วยพบศัลยแพทย์เพื่อให้คำแนะนำและรับการผ่าตัดใส่สายเข้าไปในช่องท้อง (Tenckhoff catheter) ซึ่งต้องเตรียมการล่วงหน้าอย่างน้อย 1-2 เดือนก่อนการล้างไตทางหน้าท้อง เมื่อแพทย์ได้ทำการเจาะรูบริเวณหน้าท้องสำหรับใส่สายท่อล้างไตเรียบร้อยแล้ว ผู้ป่วยหรือญาติสามารถทำเองได้ที่บ้านภายหลังจากการอบรมหลักสูตรระยะสั้น ผู้ป่วยสามารถต่อสายที่หน้าท้องเข้ากับถุงน้ำยาโดยใช้เทคนิคปลอดเชื้อ แล้วจึงปล่อยน้ำยาเข้าไปในท้องจนหมด จากนั้นปลดสายออกจากถุงและปล่อยน้ำยาทิ้งไว้ในช่องท้องประมาณ 4-6 ชั่วโมง จึงต่อถุงเปล่าเข้ากับสายที่หน้าท้องอีกครั้งเพื่อระบายน้ำยาออกจากช่องท้อง เมื่อระบายหมดแล้วจึงต่อน้ำยาถุงใหม่เข้าไปอีก ทำซ้ำเช่นนี้อย่างนี้วันละ 4 ครั้ง เรียกเทคนิคนี้ว่า “ซีเอพีดี (CAPD)” ย่อมาจากคำว่า Continuous Ambulatory Peritoneal Dialysis หรือการล้างไตทางหน้าท้องอย่างต่อเนื่องด้วยตนเอง หรือ ถ้ามีเครื่องช่วยก็จะต่อสายที่หน้าท้องเฉพาะกลางคืนขณะนอนหลับ เพื่อให้เครื่องปล่อยน้ำยาเข้าออกจากช่องท้องโดยอัตโนมัติตลอดทั้งคืน และจะปลดสายออกในตอนเช้า เรียกเทคนิคนี้ว่า “เอพีดี (APD)“ ย่อมาจากคำว่า Automated Peritoneal Dialysis หรือ การล้างไตผ่านทางหน้าท้องโดยใช้เครื่องอัตโนมัติ
การฟอกเลือด (Hemodialysis, HD)
ถ้าผู้ป่วยเลือกล้างไตด้วยวิธีการฟอกเลือด แพทย์จะส่งผู้ป่วยพบศัลยแพทย์ด้านหลอดเลือด เพื่อรับคำปรึกษาเกี่ยวกับการผ่าตัดเชื่อมหลอดเลือดที่แขน (AV Fistula or Graft) ซึ่งต้องเตรียมตัวล่วงหน้าอย่างน้อย 1-6 เดือนก่อนทำการฟอกเลือด เมื่อได้รับการผ่าตัดเชื่อมหลอดเลือดที่แขนเรียบร้อยแล้ว ผู้ป่วยจะต้องมาที่ศูนย์ไตเทียมสัปดาห์ละ 2-3 ครั้งเป็นอย่างน้อย โดยพยาบาลของศูนย์ไตเทียมจะแทงเส้นที่แขนเพื่อนำเลือดออกจากตัวผู้ป่วยไปเข้าเครื่องฟอกเลือด เครื่องจะทำหน้าที่กำจัดของเสียและน้ำออกไป พร้อมทั้งปรับสมดุลย์กรดด่างและเกลือแร่ในร่างกาย ใช้เวลาในการฟอกเลือดอย่างน้อย 3-5 ชั่วโมง
ประสิทธิภาพของการล้างไตทางหน้าท้องและการฟอกเลือดจะใกล้เคียงกัน ผู้ป่วยที่ล้างไตทางหน้าท้องนั้นไม่ต้องควบคุมอาหารและน้ำมากนัก เนื่องจากการล้างไตทางหน้าท้องมีการนำของเสีย เกลือแร่ น้ำ ออกจากร่างกายทุกวัน ต่างกับผู้ป่วยฟอกเลือดที่ต้องควบคุมน้ำและอาหารมากอยู่ เนื่องจากการฟอกเลือดจะทำทุก 2-3 วัน ทำให้ของเสีย เกลือแร่ และน้ำ มีเวลาสะสมในร่างกายนานกว่า ก่อนจะถูกกำจัดออกไป
การปลูกถ่ายเปลี่ยนไต (Kidney Transplant)
ผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายส่วนใหญ่จำเป็นต้องรักษาด้วยการปลูกถ่ายเปลี่ยนไต ผู้ป่วยต้องได้รับการตรวจร่างกายและประเมินอย่างละเอียดจากอายุรแพทย์โรคไตว่ามีข้อห้ามในการปลูกถ่ายเปลี่ยนไตหรือไม่ จากนั้นจึงจะสามารถส่งรายชื่อผู้ป่วยไปยังศูนย์บริจาคอวัยวะเพื่อที่จะรอไตบริจาคเพื่อการปลูกถ่าย ซึ่งอาจต้องรอคิวนานหลายเดือนหรือหลายปีกว่าจะได้ไตที่เข้าได้กับผู้ป่วยแต่ละราย ถ้าผู้ป่วยมีสามี ภรรยา บุตร หรือญาติสายตรง ที่มีกรุ๊ปเลือดกลุ่มเดียวกับผู้ป่วยและเป็นผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ไม่มีโรคประจำตัว ก็สามารถบริจาคไตได้โดยตรง ไม่จำเป็นต้องรอคิวสำหรับไตบริจาค ผู้ป่วยที่ได้รับการปลูกถ่ายไตจะมีสุขภาพที่ดีกว่าผู้ที่ล้างไตทางหน้าท้องหรือการฟอกเลือด และมีคุณภาพชีวิตใกล้เคียงคนปกติ ยกเว้นเรื่องการระวังการติดเชื้อ เนื่องจากผู้ป่วยหลังปลูกถ่ายเปลี่ยนไตเรียบร้อยแล้วยังคงต้องรับประทานยากดภูมิคุ้มกันตลอดเวลาที่มีไตอยู่ เพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายต่อต้านอวัยวะที่ปลูกถ่ายให้
และในวันที่ 8 มีนาคมปีนี้ ได้ถูกกำหนดให้เป็น วันไตโลก หรือ World Kidney Day 2012 ซึ่งเชิญชวนให้ประชากรทั่วโลกใส่ใจสุขภาพไตของตน และเข้าร่วมบริจาคไต ซึ่งเสมือนเป็นการมอบชีวิตใหม่ให้กับผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรัง ดังสโลแกนที่ว่า “Donate Kidneys for Live Receive”
เอกสารอ้างอิง
- Thailand Renal Replacement Therapy Year 2009: www. Thairrtregistry.org สมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย
- Prevalence of Chronic Kidney Disease in Thai Adults: A National Health Survey : Leena Ong- ajyooth, et al., BMC Nephrology 2009, 10:35
- KDOQI CKD Guidelines: www.kidney.org
ที่มา : ศูนย์วิจัยสุขภาพกรุงเทพ เครือโรงพยาบาลกรุงเทพ
ขอขอบคุณ : ผู้เรียบเรียงบทความ นายแพทย์ไกรสิทธิ อารียา อายุรแพทย์โรคไต
แหล่งข้อมูลโดย...งานสุขศึกษาและประชาสัมพันธ์ รพ.ท่าตูม