Theme Colors
Layouts
Wide Boxed

News! เตือนประชาชนกินอาหารสุกๆ ดิบๆ จากตะกวด

รายละเอียดข่าว..

เตือนประชาชนกินอาหารสุกๆ ดิบๆ จากตะกวด

ข่าวโดยย่อ
สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 9 พิษณุโลก กรมควบคุมโรค เผยว่า ได้รายงานพบผู้ป่วย “โรคปวดศีรษะพยาธิหอยโข่ง” หรือโรคเยื่อหุ้มสมองและเนื้อสมองอักเสบ จำนวน 6 ราย ในจังหวัดหนึ่งในเขตภาคเหนือตอนล่าง เป็นเพศชายทั้งหมด ผู้ป่วยทุกรายมีประวัติรับประทานเนื้อบริเวณหางและตับผสมน้ำดีของตะกวดที่จับได้ในป่าใกล้หมู่บ้าน โดยนำมาทำเป็นก้อยดิบรับประทาน อาการจะปวดศีรษะอย่างรุนแรง ปวดท้อง คลื่นไส้ และอาเจียน อัมพาตของแขนขา ไม่สามารถก้มศีรษะให้คางมาชิดหน้าอกได้ ประเทศไทยพบผู้ป่วยมากถึงประมาณร้อยละ 48 ของทั่วโลก การติดต่อจากการรับประทานอาหารสุกๆ ดิบๆ ที่ทำมาจากสัตว์ที่เป็นพาหะมีพยาธิระยะติดต่อ เช่น หอยโข่ง หอยทาก หอยน้ำจืด หอยบก หอยขม หอยเชอรี่ ปลาน้ำจืด กุ้งและปูน้ำจืด ตะกวด ผักและผลไม้สด ที่มีการปนเปื้อนของพยาธิ แนะประชาชนต้องทำอาหาร ผัก ให้สะอาดหรือสุกก่อนรับประทานเสมอ รวมทั้งงดดื่มน้ำที่ไม่สะอาด ก็สามารถปลอดภัยจากโรคนี้ได้

รายละเอียดข่าว
เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2555 เภสัชกรเชิดเกียรติ แกล้วกสิกิจ หัวหน้ากลุ่มสื่อสารความเสี่ยงและพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพ สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 9 พิษณุโลก กรมควบคุมโรค เผยว่า ได้รายงานจากสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ว่าพบผู้ป่วย “โรคปวดศีรษะพยาธิหอยโข่ง” หรือโรคเยื่อหุ้มสมองและเนื้อสมองอักเสบ จำนวน 6 ราย ในจังหวัดหนึ่งในเขตภาคเหนือตอนล่าง เริ่มมีการป่วยเข้ารับการรักษาพยาบาลในโรงพยาบาล ระหว่างวันที่ 19 เมษายน 2555 – 4 พฤษภาคม 2555 เป็นเพศชายทั้งหมด อายุระหว่าง 37-45 ปี อาชีพเกษตรกรรม ผู้ป่วยทุกรายมีประวัติรับประทานเนื้อบริเวณหางและตับผสมน้ำดีของตะกวดที่จับได้ในป่าใกล้หมู่บ้าน โดยนำมาทำเป็นก้อยดิบรับประทาน
โรคนี้เกิดจากพยาธิตัวกลม แองจิโอสตรองจิลัส แคนโทแนนสิส ( Angiostrongylus cantonensis ) พบมากในแถบเอเชีย โดยเฉพาะเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นอกจากนี้ยังมีรายงานการพบที่หมู่เกาะแปซิฟิก มาดากัสการ์ อียิปต์ ออสเตรเลีย สหรัฐอเมริกา เปอร์โตริโก คิวบา จากรายงานการพบผู้ป่วยจากทั่วโลกประมาณ 2,800 ราย เป็นผู้ป่วยจากประเทศไทย ประมาณ 1,380 ราย หรือประมาณร้อยละ 48 จากข้อมูลด้านระบาดวิทยา พบการรายงานโรคปี 2552 , 2553 จำนวน 268 ราย และ 227 รายตามลำดับจาก 23 จังหวัด โรคนี้พบมากที่สุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กว่าร้อยละ 80 รองลงมาคือภาคกลาง อายุผู้ป่วยอยู่ระหว่าง 25-45 ปี
การติดต่อของโรคพยาธิชนิดนี้ คือ จากการรับประทานอาหารสุกๆ ดิบๆ ที่ทำมาจากสัตว์ที่เป็นพาหะมีพยาธิระยะติดต่อ เช่น หอยโข่ง หอยทาก หอยน้ำจืด หอยบก หอยขม หอยเชอรี่ ปลาน้ำจืด กุ้งและปูน้ำจืด ตะกวด ผักและผลไม้สด ที่มีการปนเปื้อนของพยาธิ
อาการของโรคนี้ จะเกิดขึ้นหลังพยาธินี้เข้าสู่ร่างกายประมาณ 2 สัปดาห์ (บางรายอาจนาน 4-5 สัปดาห์) ผู้ป่วยจะมีการอักเสบของสมองและเยื่อหุ้มสมอง จะมีอาการแตกต่างกันไป ตั้งแต่ปวดศีรษะเล็กน้อยไปจนกระทั่งซึม ไม่รู้สึกตัวและอาจถึงตายได้ ผู้ป่วยบางรายหลังรับประทานอาหาร จะมีอาการปวดท้อง คลื่นไส้ และอาเจียน ต่อมาจะมีอาการเหมือนอาการของโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ คือ มีอาการปวดศีรษะ ซึ่งพบได้บ่อยที่สุด อาการปวดตุบๆ หรือปวดศีรษะอย่างรุนแรงมากบริเวณหน้าผากและขมับสองข้างเหมือนศีรษะจะระเบิด มีอาการปวดเสียวตามเส้นประสาทของศีรษะ และแขนขา มีไข้ต่ำๆ ที่เป็นๆ หายๆ บางรายซึม ไม่รู้สึกตัว อาจมีอัมพาตของอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่ง ตาเหล่ แขนขาไม่มีแรง ปัสสาวะไม่ออก ต้นคอและหลังแข็งตึง อาการสำคัญคือไม่สามารถก้มศีรษะให้คางมาชิดหน้าอกได้ ความรุนแรงของโรคขึ้นอยู่กับพยาธิสภาพที่เกิดและจำนวนพยาธิที่ผู้ป่วยรับเข้าไป
ทั้งนี้ในรายที่ผู้ป่วยมีอาการไม่มาก ผู้ป่วยจะค่อยๆ ดีขึ้นและหายได้เองภายใน 4-6 สัปดาห์ ในระยะที่รุนแรง ผู้ป่วยอาจเสียชีวิตซึ่งพบได้ประมาณร้อยละ 5 นอกจากระบบประสาทแล้ว อาจเกิดที่อวัยวะอื่นได้อีก เช่น พยาธิเข้าไชเข้าตา จะอักเสบ ทำให้ผู้ป่วยมีอาการตาพร่ามัว มองเห็นไม่ชัดเจน และตาบอดได้ การรักษาส่วนใหญ่จะเป็นการรักษาตามอาการและความรุนแรงของโรค เช่นการให้ยาบรรเทาปวด ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการปวดศีรษะรุนแรงอาจต้องเจาะน้ำไขสันหลังโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเป็นระยะๆ หากผู้ป่วยมีพยาธิในลูกตาต้องทำการผ่าตัดเพื่อเอาพยาธิออก
เภสัชกรเชิดเกียรติ กล่าวเตือนประชาชนว่า หากจะนำสัตว์ที่เป็นพาหะโดยเฉพาะอาหารที่ประกอบจากเนื้อสัตว์ เช่น หอย กุ้ง ปู กบ ตะกวด งู ฯลฯ หรือถ้าเป็นผักสด ต้องทำให้สะอาดหรือสุกก่อนรับประทาน เสมอ งดดื่มน้ำที่ไม่สะอาด แต่หากมีอาการเจ็บป่วยผิดปกติดังกล่าวให้รีบตรวจรักษาที่สถานบริการสาธารณสุขใกล้บ้านทันที ก็สามารถปลอดภัยจากโรคนี้ได้