Theme Colors
Layouts
Wide Boxed

คุณ ‘อ้วนลงพุง’ หรือเปล่า

รายละเอียด..

 การรับประทานอาหารที่มีพลังงานสูงเกินความต้องการของร่างกาย และการไม่ออกกำลังกาย หรือมีกิจกรรมการเคลื่อนไหวออกแรงน้อย อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพโดยมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคอ้วน ซึ่งไม่เฉพาะการมีน้ำหนักตัวมากเพียงอย่างเดียว แต่เป็นภาวะที่มีไขมันสะสมในร่างกายเพิ่มมากขึ้น อันเป็นสาเหตุสำคัญของโรคหัวใจ อัมพฤกษ์ อัมพาต เบาหวาน และความดันโลหิตสูง

          โรคอ้วนลงพุง เป็นภาวะที่มีการสะสมของไขมันในช่องท้องมากเกินไป เกิดจากการเผาผลาญอาหารผิดปกติ ไขมันหน้าท้องแตกตัวเป็นกรดไขมันอิสระ ซึ่งจะยับยั้งกระบวนการเผาผลาญกลูโคสที่กล้ามเนื้อ ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง เกิดภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง ตีบ หรืออุดตัน

          แต่ถึงแม้ว่าไขมันจะเป็นสาเหตุของโรคอ้วนและโรคเรื้อรังต่าง ๆ ไขมันก็ยังคงเป็นสารอาหารสำคัญที่ร่างกายจำเป็นต้องได้รับ เพื่อให้ความอบอุ่นและเปรียบเสมือนตัวกันกระแทกให้กับร่างกาย แต่หากมีไขมันสะสมในร่างกายมากเกินไป กล่าวคือ ในผู้หญิงพบมากกว่า 30% และในผู้ชายพบมากกว่า 25% ถือว่าเป็นโรคอ้วน และถ้ารอบเอวเพิ่มขึ้นทุก ๆ 5 เซนติเมตร จะยังเพิ่มโอกาสการเป็นโรคเบาหวานได้มากถึง 3-5 เท่า

/data/content/24682/cms/e_agilnrwz1468.jpg

          แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าอ้วน วิธีการทำได้ง่าย ๆ โดยการวัดส่วนสูง น้ำหนักตัว และเส้นรอบเอวแล้วนำมาพิจารณาดังนี้

          1) น้ำหนักตัวที่เหมาะสมเทียบกับส่วนสูง

          น้ำหนักตัว (กิโลกรัม) ที่เหมาะสมสำหรับผู้หญิงเท่ากับ ส่วนสูง (เซนติเมตร) ลบ 110

          น้ำหนักตัว (กิโลกรัม) ที่เหมาะสมสำหรับผู้ชายเท่ากับ ส่วนสูง (เซนติเมตร) ลบ 100

          ตัวอย่างเช่น เปิ้ลสูง 155 เซนติเมตร น้ำหนักที่เหมาะสมคือ 155-110 = 45 กิโลกรัม ดังนั้น ถ้าน้ำหนักปัจจุบันของเปิ้ล มากกว่า 45 กิโลกรัม แสดงว่าน้ำหนักมากกว่าที่ควรจะเป็น

          2) ดัชนีมวลกาย

          ดัชนีมวลกาย (กิโลกรัมต่อเมตร) เท่ากับ น้ำหนัก (กิโลกรัม) ต่อ ส่วนสูง (เมตร)

          ดัชนีมวลกายที่เหมาะสมทั้งผู้หญิงและชาย คือ 18.5-22.9 กิโลกรัมต่อเมตร

          หากน้อยกว่า 18.5 หมายถึงผอม หากมากกว่า 22.9 ขึ้นไปถึง 24.9 หมายถึงน้ำหนักเกิน และหากมากกว่า 25 ขึ้นไป ถือว่าอ้วน

/data/content/24682/cms/e_ehijlouw2378.jpg

          3) เส้นรอบเอว

          ค่าปกติของเส้นรอบเอวสำหรับผู้หญิง ไม่ควรเกิน 80 เซนติเมตร หรือ 32 นิ้ว

          ค่าปกติของเส้นรอบเอวสำหรับผู้ชาย ไม่ควรเกิน 90 เซนติเมตร หรือ 36 นิ้ว

          การวินิจฉัยว่าอ้วนลงพุง จะวัดจากเส้นรอบเอวร่วมกับปัจจัยเสี่ยง ต่าง ๆ เพิ่มเติมดังนี้ ความดันโลหิต 130 ต่อ 85 มิลลิเมตรปรอทขึ้นไป, น้ำตาลในเลือดหลังงดอาหาร 100 มิลลิกรัม ต่อเดซิลิตรขึ้นไป, คอ เลสเตอรอลชนิดดี (เอชดีแอล) ต่ำกว่า 50 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตรในผู้หญิงหรือต่ำกว่า 40 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตรในผู้ชาย และไขมันไตรกลีเซอไรด์สูง 150 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตรขึ้นไป

          คำถามต่อมาก็คือ เราจะมีวิธีในการควบคุมน้ำหนัก เส้นรอบเอว ปริมาณไขมันได้อย่างไร

          ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ความไม่สมดุลของพลังงานที่ได้รับจากการทานอาหารและพลังงานที่ร่างกายใช้ไปในกิจกรรมต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทานอาหารที่มากเกินความต้องการของร่างกาย ทำให้เกิดโรคอ้วน ซึ่งส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับตัวเองดังคำกล่าวที่ว่า "สุขภาพของท่านเป็นอย่างไร ขึ้นอยู่กับสิ่งที่ท่านกิน"

          อีกทั้งในแต่ละวันร่างกายมีความต้องการพลังงานของแต่ละคนแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกาย ภาวะโภชนาการ และระดับกิจกรรมการเคลื่อนไหวออกแรง หรือการออกกำลังกาย วิธีการประมาณความต้องการพลังงานสามารถคิดได้ดังนี้

          ความต้องการพลังงาน (แคลอรี่ ต่อ วัน) = น้ำหนักตัว (กิโลกรัม)  30

         ถ้ามีน้ำหนักตัว 50 กิโลกรัม ความต้องการพลังงานคือ 50 อ 30 =  1500 แคลอรี่ต่อวัน

          นั่นคือต้องได้รับพลังงาน 1500 แคลอรี่ต่อวัน เพื่อรักษาน้ำหนักตัวให้คงที่ในกรณีที่มีดัชนีมวลกายปกติ โดยทั่วไป การทานอาหาร 3 มื้อ มื้อละ 500 แคลอรี่ อย่างไรก็ตามในความเป็นจริง อาจทานอาหารที่มีพลังงานค่อนข้างมากในมื้อใดมื้อหนึ่ง เช่น มื้อเช้า หรือมื้อเที่ยง และพลังงานน้อยลงในมื้อที่เหลือ

/data/content/24682/cms/e_begjlnqrsuz1.jpg

          หลักสำคัญในการควบคุมสมดุลพลังงานหรือควบคุมปริมาณพลังงานทั้งวันให้เป็นไปตามที่ควรได้รับ หากได้รับพลังงานมากเกินไป จะต้องมีกิจกรรมการเคลื่อนไหวออกแรง หรือการออกกำลังกายเพิ่มขึ้น เพื่อให้มีการเผาผลาญพลังงานสูงขึ้น ซึ่งจะช่วยให้เกิดสมดุลพลังงานได้ในที่สุด

          โดยทั่วไป การออกกำลังกายควรทำให้ได้ 2-3 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ โดยอาจเป็นวันละประมาณ 1 ชั่วโมง วันเว้นวันการออกกำลังกายมีหลายรูปแบบให้ผลแตกต่างกัน เช่น ว่ายน้ำ ขี่จักรยาน หรือวิ่ง ช่วยฝึกความทนของปอดและหัวใจสำหรับการออกกำลังกายใช้แรงต้าน เช่นการยกน้ำหนัก หรือซิทอัพ ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ส่วนการเดินการทำงาน ทำอาชีพหรืองานอดิเรกที่ต้องออกแรง จัดเป็นกิจกรรมการเคลื่อนไหวออกแรง ซึ่งควรทำให้ได้ทุกวัน หรือเกือบทุกวัน หลักในการออกกำลังกายคือทำช้า ๆ มีช่วงพักและเมื่อเริ่มล้าให้หยุด

 

 

          ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์  โดย รศ.ดร.นพวรรณ เปียซื่อ โรงเรียนพยาบาลรามาธิบดี คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล

          ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต